ประวัติผู้สอน
ธันย์ธรณ์ บุญจิรกิตติ์ (Winner)
นักลงทุน ที่ปรึกษาการเงินและนักเขียน Bestseller
สถาบันที่ให้ความรู้ด้านการลงทุนตลาดหุ้นแบบมืออาชีพ
มีระบบการสอนที่เรียนรู้เข้าใจง่าย ฝึกทักษะการเทรดบนกราฟจริงเข้าใจเร็ว
พร้อมเครื่องมือช่วยเทรดอัจฉริยะ และทีมงานให้คำปรึกษาดูแลใกล้ชิด
ประสบการณ์ทำงาน
- นักลงทุนตลาดหุ้นปั้นพอร์ต 8 หลัก
- ประสบการณ์ลงทุนตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศมากกว่า 10 ปี
- รางวัลชนะเลิศแข่งขันการลงทุน The Stock Master Troop หลักทรัพย์บัวหลวง ปี3
- ผู้เชี่ยวชาญการเทรด Future ทำกำไรทั้งขาขึ้นและขาลงได้อย่างแม่นยำ
- นักลงทุนอสังหาที่ดินและบ้านเช่า
- เป็นที่ปรึกษาธุรกิจบริษัทชั้นนำ มากกว่า 100 ธุรกิจ
การศึกษา
Havard Business School (HBX)
Private Equity and Alternative Investment
Assumption University
Master of Science in Information Technology
ชีวิตผมท้าทายตั้งแต่ยังเด็ก เพราะเกิดมาก็จนแล้ว ที่บ้านเป็นหนี้เยอะมาก ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่สมบูรณ์ พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ยังเล็ก ต้องทำงานตั้งแต่เด็ก จำได้ว่าตอนนั้นเรียนอยู่มัธยมต้น เลยทำให้รู้คุณค่าของเงินมากๆ
ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะเห็นว่า ผมเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์มากๆจนได้เข้าทำงานกับองค์กรระดับโลก คือ องค์การสหประชาชาติ(UN) หน่วยงาน ILO ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ในภูมิภาค Asia และ Pacific และสำนักงานใหญ่ที่ Geneva
ประสบการณ์ทำงานที่ องค์การสหประชาชาติ
แต่น้อยคนที่จะรู้ว่ากว่าจะมาได้ขนาดนี้ ผมต้องผ่านอะไรมาบ้าง ผมต้องทำงานให้กับอาจารย์เพื่อแลกกับการได้เรียนคอมพิวเตอร์ เพราะตอนนั้นไม่มีเงินจ่ายค่าเรียน ผมต้องเรียน กศน. แทนมัธยมปลายเพราะทางบ้านไม่มีแม้แต่ค่าเทอม
ตอนนั้นทั้งทำงานหารายได้ เรียน กศน. และเรียนรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ไปด้วย ทำงานทั้งกลางวัน กลางคืนเรียนรู้ต่อ
เพราะในหัวตอนนั้น ต้องเก่งคอมฯให้ได้ และจากความมุ่งมานะพยายาม ผมได้เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยหอการไทย
จนได้คว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ในการแข่งขันคอมพิวเตอร์ ของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยในปี 2001
ซึ่งมีผู้แข่งขันจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ และผมได้รับทุนเรียนฟรีจนจบปริญญาตรี มีบริษัทชั้นนำระดับประเทศจองตัวรับเข้าทำงานทำให้ผมสั่งตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ให้ขยัน มุ่งมั่น อดทน ขวนขวายในสิ่งที่ตัวเองชอบและทำมันให้สุดจะเปลี่ยนชะตาชีวิตเราได้
จุดที่ทำให้ผมเริ่มรู้จักการลงทุนในตลาดหุ้น คือปี พ.ศ.2546 ตอนนั้นอายุ22ปี เริ่มมีเงินเก็บจากการทำงาน
ด้วยความที่งานมาตั้งแต่อายุ 17 ปี ความเข้าใจในตอนนั้น
ถ้าอยากได้เงินเยอะก็ต้องทำงานหนัก เวลาก็ไม่มีให้ตัวเองและครอบครัว ยังมองไม่เห็นวันที่จะหยุดทำงานได้เลย
ในหัวของผมมีคำถามอยู่ตลอดว่าคนรวยเค้าทำอะไรกันที่ยิ่งทำยิ่งรวย ได้ใช้ชีวิต มีเวลาได้เที่ยว
แถมยังรวยแบบก้าวกระโดด ผมเลยเริ่มศึกษาว่าคนรวยเค้าทำกันยังไงวางแผนการเงินแบบไหน
ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ได้ผลเร็วแบบที่ผมต้องการ คือ การลงทุนในตลาดหุ้น
ผมจึงทุ่มเวลาศึกษาหาความรู้การลงทุนในด้านนี้ให้ถึงแก่น ผมไม่เพียงแค่ศึกษาหาความรู้ในตำรา
แต่ยังลงสนามจริงเทรดจริงมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ปี บอกเลยว่าเสียค่าความไม่รู้มากกว่า 7 หลัก ไปกับการทดลองหาสูตรทำกำไรซ้ำๆ
เอาชนะตลาด แกะพฤติกรรมกราฟเยอะมาก ใช้เวลานานมาก ได้เรียนรู้หลายอย่างมาก ทั้งเรื่องการดูกราฟ จุดเข้าซื้อ จุดขายทำกำไร
วางแผนตัดขาดทุน การอ่านงบบริษัท และหัวใจสำคัญในการตัดสินใจคือ Mindset ในการลงทุน
ทำให้ผมได้มีโอกาสเข้าแข่งขัน Stock Master ในปี2014 ลงทุนหุ้นเปลี่ยนเม่าเป็นเหาฉลาม
เป็นการแข่งขันที่ใช้เงินเทรดจริง ถ้าเทรดพลาดก็เสียเงินจริงๆ และผมก็ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขัน
ได้แชมป์มาครองสำเร็จ พร้อมทั้งได้รับเกียรติจากหลักทรัพย์บัวหลวง ไปดูงานที่ตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์(SGX)
ทำให้ผมได้เห็นโลกของการเงินที่ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม ที่หลายๆบริษัทมาระดมทุนในตลาดนี้ เห็นคนที่สร้างพอร์ตร้อยล้านไปจนหมื่นล้านมานับไม่ถ้วน ทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าตลาดหุ้นนั้นเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มี Leverage สูงสามารถสร้างความมั่งคั่งได้มหาศาล และตอบโจทย์ Life Style ที่ผมต้องการ โดยที่การทำงานแบบอื่นทำไม่ได้
หลังจากนั้นได้เรียนรู้เพิ่มเติมอย่างจริงจัง มีประสบการณ์ในการลงทุนหุ้นมาแล้ว สิ่งที่ได้สัมผัสตอนนั้นคือ
ถ้าอยากจะได้เงิน Passive Income จากเงินปันผล
ต้องมีทุนที่เยอะมากๆ สมมติว่ามีเงินทุนหลักล้าน ปันผล 6% ต่อปี
ก็จะเฉลี่ยได้ปันผล 60,000 บาท/ปี
(เท่ากับเป็น Passive Income เฉลี่ยเดือนละ 5,000 บาท)
แล้วถ้าอยากจะได้เดือนละ 100,000 บาท ก็เท่ากับว่า
ต้องมีเงินลงทุนถึง 20 ล้านบาทเลย
(20,000,000 x 6% = 1,200,000 บาท/ปี)
หลังจากที่ได้เห็นตัวเลขชัดเจนแล้ว ผมเลยเปลี่ยนจากแค่ลงทุนรับเงินปันผลอย่างเดียว เป็นหากระแสเงินสดควบคู่ไปด้วย
เลยได้มาศึกษาในตลาด TFEX (Future สัญญาซื้อ-ขายล่วงหน้า) เป็นเครื่องมือ Leverage
ที่ใช้เงินลงทุนน้อย แต่สามารถทำกำไรได้เยอะ
ซึ่งทำให้พอร์ตลงทุนเติบโตมาเรื่อยๆ จากทุนเริ่ม 500,000 บาท เป็น 10 ล้าน ภายในระยะเวลา 3 ปี
รวมถึงกระจายพอร์ตลงทุนไปอสังหาริมทรัพย์ที่ดินและบ้านเช่า
เพื่อที่จะมีรายได้แบบ Passive Income หลายช่องทาง
ซึ่งคุณก็สามารถทำได้เหมือนกัน
